สิว (Acne) เป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยมีสาเหตุเกิดมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอกอย่างแสงแดด มลภาวะ การใช้สกินแคร์ชนิดต่าง ๆ หรือปัจจัยภายในอย่างการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เกิดจากกรรมพันธุ์ ซึ่งปัญหาสิวนี้สร้างความรำคาญ ลดความมั่นใจ และยังอาจทิ้งรอยสิวไว้บนใบหน้าได้อีกด้วย
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกสาเหตุที่พบบ่อยของการเกิดสิว ว่าเกิดจากอะไรบ้าง พร้อมแนะนำวิธีการรักษารอยสิวอย่างถูกต้อง
สิวมีกี่ประเภท?
สิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
- สิวอุดตัน (Non-inflammatory acne)
สิวอุดตัน เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ไขมัน และสิ่งสกปรก มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาว เหลืองอ่อน หรือหัวสีดำ และไม่มีอาการอักเสบ- สิวหัวขาว (Whiteheads) : เป็นตุ่มนูนสีขาว แข็ง พบได้บ่อยบริเวณหน้าผาก จมูก และคาง
- สิวหัวดำ (Blackheads) : เป็นตุ่มนูนสีดำ พบได้บ่อยบริเวณจมูก หน้าผาก และคาง เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน และมีการเปิดออก ทำให้ไขมันและสิ่งสกปรกสัมผัสกับอากาศ เกิดการออกซิไดส์กลายเป็นสีดำ
- สิวอักเสบ (Inflammatory acne)
สิวอักเสบ เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง เจ็บ และมีหนอง- สิวอักเสบตื้น (Papules) : เป็นตุ่มนูนสีแดง มีขนาดเล็ก หัวสิวมีลักษณะแข็งเมื่อนำมือไปสัมผัส และอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
- สิวอักเสบหัวหนอง (Pustules) : เป็นตุ่มนูนสีแดง มีหัวหนองสีขาวตรงกลาง
- สิวซีสต์ (Cysts) : เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ ลึก อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง มีอาการเจ็บปวดมาก
- สิวอักเสบนูนแดง (Nodules) : เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ ลึก อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง มีอาการแข็ง และเจ็บปวดมากเมื่อสัมผัส
สาเหตุหลักของการเกิดสิว
สิว เกิดจากการอุดตันภายในรูขุมขน ซึ่งมาจากไขมัน น้ำมันส่วนเกิน หรือเกิดการผลัดเซลล์ผิวผ่านท่อขนาดเล็กลงสู่รูขุมขนจนเกิดการอุดตัน เมื่อเกิดการสะสมไปเรื่อย ๆ ก็จะก่อให้เกิดสิวตามมา โดยสาเหตุหลักของการเกิดสิว ได้แก่
- น้ำมัน หรือส่วนของไขมัน (Sebum)
น้ำมันที่ผลิตโดยต่อมไขมันใต้ผิวหนังชั้นบน มีส่วนสำคัญในการปกป้องผิว แต่เมื่อมีการผลิตมากเกินไป จะส่งผลให้รูขุมขนอุดตัน เกิดเป็นสิวอุดตัน (Non-inflammatory acne) เช่น สิวหัวเปิด สิวหัวปิด - เซลล์ผิวที่ตายแล้ว (Dead skin cells)
เซลล์ผิวที่ตายแล้วมักจะหลุดลอกตามธรรมชาติ แต่หากมีการผลัดเซลล์ผิวช้า เซลล์ผิวที่ตายแล้วจะอุดตันรูขุมขน ร่วมกับน้ำมันส่วนเกิน เกิดเป็นสิวอุดตันเช่นกัน - แบคทีเรีย (Bacteria)
แบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนผิวหนัง โดยเฉพาะในรูขุมขน เมื่อมีน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสม แบคทีเรียชนิดนี้จะเจริญเติบโต ก่อให้เกิดการอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบ (Inflammatory acne) เช่น สิวหัวหนอง สิวอักเสบ - การอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Inflammation and immune response)
เมื่อรูขุมขนอุดตัน มีแบคทีเรียเจริญเติบโต ร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบ ส่งผลให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน และเจ็บ นำไปสู่การเกิดสิวอักเสบ
รอยสิว เกิดจากอะไร? มีวิธีรักษาอย่างไร?
รอยสิว คือผลกระทบที่เกิดจากการอักเสบของสิว ส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นทั้งหลุมสิว รอยดำ รอยแดง ซึ่งรอยสิวเหล่านี้รักษาได้ยาก ใช้เวลานาน โดยปกติแล้วสาเหตุของการเกิดรอยสิว ได้แก่
- เกิดจากการแกะ เกา บีบสิว เป็นการทำร้ายผิว ทำให้เกิดรอยแผลเป็น
- เกิดจากการอักเสบของสิว สร้างเม็ดสี melanin มากผิดปกติ ทำให้เกิดรอยดำ
- เกิดจากการสัมผัสแสงแดด ส่งผลให้รอยดำเข้มขึ้น ยากต่อการรักษา
ประเภทของรอยสิว
รอยสิว สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
- รอยแดง (Post-inflammatory erythema) : มีลักษณะเป็นรอยแบน ๆ สีแดง มักเกิดจากสิวอักเสบ รักษาได้ง่ายมากที่สุด ซึ่งหายได้เองภายใน 3-6 เดือน
- รอยดำ (Post-inflammatory hyperpigmentation) : มีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลเข้ม เกิดจากการอักเสบของสิว กระตุ้นให้เซลล์ melanocyte สร้างเม็ดสี melanin มากผิดปกติ
- หลุมสิว (Atrophic scar) : มีลักษณะเป็นรอยบุ๋มลึก เกิดจากการอักเสบของสิวชั้นลึก ที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน และเป็นลักษณะของรอยสิวที่รักษาได้ยากมากที่สุด จะต้องรักษาโดยการทำเลเซอร์เท่านั้น
วิธีการรักษารอยสิว
รอยสิว ถึงแม้จะเป็นปัญหาสุดกวนใจ และรักษาให้หายขาดได้ยากกว่าสิว แต่ในปัจจุบันนี้มีวิธีการรักษาที่หลากหลาย ซึ่งเห็นผลได้จริง โดยมีอยู่ด้วยกัน ดังนี้
- เลเซอร์
การเลเซอร์ เป็นวิธีที่รักษารอยสิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน สามารถช่วยลดรอยแดง รอยดำ รอยนูน และหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลเร็ว และใช้เวลาในการรักษาไม่นาน - การผลัดเซลล์ผิว
การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี เช่น กรดผลไม้, AHA, BHA สามารถช่วยให้รอยสิวจางลงได้ อีกทั้งยังช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น และผิวสม่ำเสมอกันทั่วทั้งใบหน้า - การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์จะนิยมใช้ฉีดเพื่อรักษาหลุมสิว โดยสามารถช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้ แต่ผลลัพธ์จะอยู่ได้ไม่นาน - การทายา
เลือกยาทาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ (Retinoids), กรดผลไม้ (AHAs) หรือไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ตัวยาเหล่านี้สามารถช่วยลดรอยดำ รอยแดง ได้ แต่จะต้องทาเป็นประจำเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว - การดูแลผิว
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การดูแลผิวอย่างถูกวิธี เช่น ทาครีมกันแดด ล้างหน้าอย่างถูกวิธี ทาครีมบำรุงผิว ก็จะช่วยลดโอกาสในการเกิดรอยสิวใหม่ได้
สิวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การดูแลผิวอย่างถูกวิธีและเลือกวิธีการรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยลดโอกาสเกิดสิวและรอยสิวได้ หากมีปัญหาสิวเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง
หากกำลังมองหาคลินิกที่น่าเชื่อถือ แนะนำที่ Bless Clinic สถาบันเสริมความงามที่มีการบริการด้านความงามที่ครบวงจร โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ตัวยาและเครื่องมือแท้ ปลอดภัย ผลลัพธ์ชัดเจน ซึ่งที่ Bless Clinic ใช้เครื่อง Pico Laser รุ่นล่าสุด ในการรักษารอยสิว หลุมสิว รูขุมขนกว้าง ปัญหาผิวไม่เรียบเนียน และยังมีจุดเด่นอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ
- มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์ มีประสบการณ์ด้านความงามมายาวนาน พร้อมให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด
- มีบริการครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การทำเลเซอร์ และการดูแลหลังการทำเลเซอร์
- Bless Clinic ใช้เครื่องมือที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
- ให้บริการอย่างเป็นกันเอง ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด