3 ปัญหาผิวหน้ายอดฮิต!! ที่เบลสคลินิก อยากแนะนำให้คุณป้องกันก่อนจะสายเกินไป

3 ปัญหาผิวหน้ายอดฮิต!! ที่เบลส คลินิกเสริมความงามสุพรรณบุรี

อยากแนะนำให้คุณป้องกันก่อนจะสายเกินไป

ปัญหาผิวหน้าที่พบบ่อย แก้ไขได้ที่เบลส คลินิก เสริมความงามสุพรรณบุรี

เคยรู้สึกกังวลกับปัญหาผิวหน้าบ้างไหม? ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิว เช่น สิวอุดตัน สิวผด สิวอักเสบ หรือ ฝ้ากระ จะเป็นฝ้าเลือดก็ดี หรือฝ้าแดดก็ดี และยังมีปัญหาผื่นแพ้ให้กังวลใจอีก ที่เบลส คลินิก เสริมความงามสุพรรณบุรี เราพบว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่คนไข้หลายคนกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่รู้ไหมว่าปัญหาเหล่านี้มีทางออกเสมอ เพียงแค่คุณเข้าใจสาเหตุและเลือกวิธีรักษารอยสิว รักษาฝ้า กระที่เหมาะสม เรามีคำแนะนำดีๆ ที่จะช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่สุขภาพดีกลับคืนมา

สิว รอยแดง รอยดำจากสิว และวิธีรักษารอยสิว

วิธีรักษารอยสิว
 

ทุกคนคงเคยมีประสบการณ์กับสิวอย่างน้อยหนึ่งเม็ด ไม่ว่าจะเป็นสิวผด สิวอุดตัน หรือสิวอักเสบที่พบได้บ่อย และมักเกิดสลับกันไปมา โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอากาศร้อน สิวผดเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด แม้หลายคนจะเข้าใจผิดว่าเป็นสิวอุดตัน สิวผดมักเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดทำให้ผิวต้องเร่งระบายเหงื่อจนเกิดการอุดตัน หรืออาจเกิดจากการแพ้สารบางอย่าง เช่น การใช้ครีมบำรุงที่ไม่เคยใช้มาก่อน หากอาการไม่รุนแรง สิวผดสามารถหายได้เอง

สิวอุดตันที่มักถูกเข้าใจผิดนั้น แท้จริงแล้วเป็นสิวขนาดเล็กจึงมักถูกมองข้ามและไม่ได้รับความสนใจ แต่กลับเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลร้ายต่อผิวหน้ามากกว่าที่คิด เพราะนอกจากจะรักษายากแล้ว ยังเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบอีกด้วย

สิวอุดตัน เกิดจากการที่ไขมันใต้ชั้นผิวรวมตัวกับสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิวหน้า เมื่อมีเชื้อ C.acnes เจริญเติบโตในตุ่มสิว ก็จะพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบ และเมื่อสิวอักเสบหายไป มักทิ้งรอยแดง หรือรอยดำ ที่ทำให้รักษารอยสิวได้ยากบนใบหน้า

หากไม่อยากให้ปัญหาสิวบนใบหน้าบานปลาย ควรเริ่มต้นแก้ไขปัญหาสิวอุดตันที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายเสียก่อน

วิธีการดูแลสิว และรักษารอยสิว

  1. ใช้ผลิตภัณฑ์ลดการอุดตัน หรือช่วยละลายการอุดตันของสิว อย่าง Acne Clear No.1 จากเบลส คลินิก ซึ่งจะช่วยป้องกันการอุดตันใหม่ของสิว และยังช่วยละลายหัวสิวที่อุดตันไปแล้ว ทำให้กดออกง่ายตัดปัญหาการเกิดสิวอุดตัน และสิวอักเสบ
  2. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยับยั้งการเกิดเชื้อแบคทีเรีย ที่จะกลายร่างจากสิวอุดตันไปเป็นสิวอักเสบ ด้วย Acne Clear No.2 จากเบลส คลินิก ที่มีสารที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวอักเสบอย่าง C.acnes ทำให้สิวอุดตันไม่เปลี่ยนไปเป็นสิวอักเสบได้
  3. ถึงแม้ว่าความมันส่วนเกินจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการอุดตันของผิว แต่การล้างหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดึงความมันของใบหน้าออกไปมากจนเกินไปก็จะทำเกิดการอักเสบของผิวที่แห้งตึง หรืออาจจะยิ่งทำให้ต่อมไขมันเร่งผลิตน้ำมันบนหน้ามากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น มอยเจอร์ไรเซอร์ Sensitive Repair จากเบลสคลินิก ที่ประกอบไปด้วย Ceramide Complex จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิว พร้อมทั้งช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ทำให้ปัญหาสิวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
  4. ปัญหารอยแดงรอยดำจากสิว หากเกิดขึ้นแล้วก็มักจะใช้พวกตัวยากลุ่มวิตามินเอ สูตรพรีเมียม อย่าง เช่น Acne Clear No.3 จากเบลส คลินิก ที่จะช่วยลดรอยแดง รอยดำจากสิว และยังช่วยลดการอุดตันของสิวได้อีกทางหนึ่ง

รักษาฝ้า กระ

วิธีรักษาฝ้า กระ

ฝ้า และกระนั้นเป็นปัญหาที่ทำให้หลายท่านไม่มั่นใจ ไม่เพียงแต่ที่ใบหน้า ฝ้าและกระนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งฝ้ากระนั้นก็มีสาเหตุการเกิด และวิธีรักษาฝ้า กระหลากหลายตามชนิดของแต่ละปัญหา

ฝ้ามีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลขอบเขตไม่เรียบ มักเป็นเท่ากันทั้งสองข้างของร่างกาย โดยลักษณะของฝ้าที่พบเป็นได้ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน ซึ่งเห็นขอบเขตไม่ชัดเจน จนถึง สีน้ำตาลเข้ม หรือ น้ำตาลเทาขึ้นอยู่กับความลึกของฝ้าในชั้นผิวหนัง ตำแหน่งที่พบมากที่สุดคือบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะตำแหน่งที่โดนแสงแดด อาการมักพบครั้งแรกหลังโดนแดด หรือ ช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ โดยฝ้าที่พบในคนผิวสีอ่อน หรือฝ้าที่พบระหว่างการตั้งครรภ์ บางครั้งสามารถจางลงและหายได้เอง แต่ฝ้าที่พบในคนผิวสีเข้ม มีแนวโน้มที่จะคงอยู่และไม่หายไปเอง

กระ จะถูกแบ่งออกได้เป็นอีก 4 ประเภท ได้แก่

  1. กระตื้น จุดสีน้ำตาลขาดเล็กเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ขอบเขตชัด สามารถจางลงเองได้หากหลีกเลี่ยงแสงแดด
  2. กระลึก เป็นจุดสีน้ำตาลเทา เกิดขึ้นบนชั้นผิวหนังชั้นแท้อยู่ลึกกว่ากระตื้น
  3. กระแดด เป็นวงกลมสีน้ำตาลเรียบไปกับผิว มักเกิดในบริเวณที่ถูกแสงแดด
  4. กระเนื้อ เป็นตุ่มนูนสีน้ำตาล ดำ มักพบในคนสูงอายุ และผู้ที่โดนแสงแดดบ่อยๆ

แม้ว่าไม่สามารถรักษาฝ้า กระ บางชนิดให้หายขาดได้ แต่สามารถทำให้จางลงได้

วิธีการดูแลฝ้า / กระ รักษาฝ้า กระ

  1. การหลีกเลี่ยงแสงแดด และป้องกันตนเองจากแสงแดด
  2. ใช้ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีความสามารถในการปกป้องทั้งรังสียูวีเอ (UVA) และรังสียูวีบี (UVB) การทาครีมกันแดดต้องทาในปริมาณที่มากเพียงพอ โดยแนะนำให้ทาอย่างน้อยเท่ากับ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซ็นติเมตร หรือประมาณ 1 ข้อนิ้วชี้สำหรับทาหน้าและคอ ซึ่งควรทาอย่างน้อย 2 รอบ ถึงจะเพียงพอต่อการปกป้องแสงแดด และควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาที และทาซํ้าทุกๆ 2 ชั่วโมงในระหว่างวัน

    จากงานวิจัยพบว่าการทาครีมกันแดดที่เหมาะสม สามารถลดความรุนแรงของโรคได้ประมาณ 50 % และยังช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าในคนตั้งครรภ์ได้มากถึง 90% อีกด้วย
    เบลสคลินิก ขอแนะนำ Bless Soft Sunscreen กันแดดเนื้อบางเบา เกลี่ยง่าย แต่สามารถช่วยป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของผิว

  3. ใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไวท์เทนนิ่งอย่าง เช่น BLESS Supreme White Plus เซรั่มไวเทนนิ่งสูตรเข้มข้นด้วยสารไวเทนนิ่งหลากหลายตัวที่คัดสรรแล้วโดยคุณหมอของเบลสคลินิก ซึ่งในตัวเซรั่มนั้นจะประกอบไปด้วย

    • Arbutin
    • Kojic acid
    • Vitamin C&E
    • Bearberry extracts
    • Mulberry extracts
    • Licorice extracts

      ที่จะช่วยกันเสริมประสิทธิภาพในการลดการทำงานของเม็ดสีในชั้นผิวและทำให้ฝ้าที่เกิดขึ้นแล้วแลดูจางลงพร้อมกับช่วยทำให้หน้าดูขาวกระจ่างใสขึ้น

  4. การใช้ยาทาในการรักษาฝ้า Melasma Clear ยารักษาฝ้าสูตรเฉพาะ ที่จะเข้าไปรักษาฝ้าบนผิวหน้าอย่างตรงจุด เป็นสูตรของแพทย์ที่ Bless Clinic ซึ่งจะใช้ได้หากได้รับการรักษา และการแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ Bless clinic คลินิกเสริมความงามสุพรรณบุรีเท่านั้น

  5. การค้นหาสาเหตุและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ก่อให้เกิดฝ้า เช่น ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อการระคายเคือง ต่างๆ กรณีที่รับประทานยาคุมกำเนิด ถ้าเป็นไปได้ควรจะหยุดยาและพิจารณาเปลี่ยนวิธีการคุมกำเนิดใหม่ เป็นต้น

รักษาผิวแพ้ง่าย / ผดผื่นคัน

ผิวแพ้ง่าย / ผดผื่นคัน

ผื่นแพ้ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะในอากาศที่ร้อนมากอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้เหงื่อ ที่จะเกิดผื่นแพ้ทุกครั้งที่มีเหงื่อออก ซึ่งผื่นแพ้เหงื่อก็มาจากความร้อนเข้าไปทำกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อหลั่งออกมา กระตุ้นทำให้เกิดผื่นแพ้

หรืออีกหนึ่งสาเหตุคือ ผู้ที่มีผิวบอบบางเป็นผื่นแพ้ง่าย เกิดจากผิวที่เอนไซม์ทำงานอย่างผิดปกติทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดการสูญเสียน้ำ ทำให้ปัจจัยภายนอกอย่างเช่น ฝุ่น มลภาวะ หรือสารเคมีที่ยังมีความความโยนไม่มากเพียงพอจึงเข้ามาทำร้ายผิว จนทำให้เกิดผดผื่นแพ้ ผิวอักเสบ หรือเป็นรอยแดงจากการระคายเคืองได้

วิธีการดูแลผิวสำหรับผิวแพ้ง่าย หรือช่วงที่มีผดผื่นคัน
คือการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีการลดการอักเสบของผิว บำรุงผิวให้เกิดความชุ่มชื้น และต้องอ่อนโยนเพียงพอที่จะไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าซึ่งบอบบางมากกว่าผิวส่วนอื่นในร่างกาย อย่างเช่นผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผิวผู้ที่เป็นผื่นแพ้ของ Bless Clinic

  1. Bless Sensitive Repair : ครีมบำรุงที่ช่วยปลอบประโลม ลดการอักเสบของผิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ด้วยส่วนผสมของ Ceramide complex เหมาะสำหรับผิวที่เป็นผื่นแพ้ มีปัญหาผด ผื่นคัน

  2. Eucerin Instant Calming : ครีมบำรุงผิวที่สามารถหาซื้อได้ในคลินิก หรือโรงพยาบาลเท่านั้น ประกอบไปด้วย Symsitive และ Licochalcone A ช่วยบำรุงผิวที่มีการระคายเคือง ลดอาการแสดงแดงได้ทันที สามารถใช้ได้ในผู้ที่มีผิวบอบบาง แดง แพ้ง่าย ระคายเคือง

สามารถสั่งซื้อ เซ็ตบำรุงและแก้ปัญหาผิวหน้าทุกชนิดได้อย่างตรงจุดได้จาก Bless clinic คลินิกเสริมความงามสุพรรณบุรี หรือสามารถให้คุณหมอประเมินอาการผ่านระบบออนไลน์ได้ฟรี! ผ่านทาง Line official หรือ Facebook page

3 ปัญหาผิวหน้ายอดฮิต!! ที่เบลสคลินิก อยากแนะนำให้คุณป้องกันก่อนจะสายเกินไป Read More »

ครีมกันแดด ครีมที่ขาดไม่ได้ !!

ครีมกันแดดสำคัญอย่างไร ?
ในทุกๆวัน ร่างกายของเราได้รับรังสียูวีอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากแสงแดด หรือแสงไฟในอาคาร รังสียูวีนั้นจะเข้าทำลายชั้นผิวหนังของเรา ทำให้ผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอย เหี่ยวย่น เกิดฝ้า กระ และอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เลยทีเดียว การทาครีมกันแดดนั้นสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยดูดซับรังสีดังกล่าวไว้ และลดปริมาณรังสียูวีที่จะเข้าถึงชั้นผิวหนังของเราได้

การทาครีมกันแดดจะช่วยดูดซับรังสียูวี และลดปริมาณรังสีที่จะเข้าถึงชั้นผิวหนังของเราได้

รังสียูวีคืออะไร ?
รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสียูวี เป็นช่วงหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่มองเห็นได้ ถูกปล่อยออกมาได้จากรังสีของดวงอาทิตย์ และจากวัตถุที่ทำให้เกิดความร้อนสูงๆ จะแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงคลื่นใหญ่ๆ ได้แก่
• รังสี UVA (คลื่นยาว : 320-400 นาโนเมตร) เป็นรังสีที่สามารถผ่านเข้าถึงผิวชั้นล่างที่อยู่ลึกได้ โดยจะทำลายเซลล์ผิว ทำลายคอลลาเจนและความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งจนเกิดริ้วรอยลึกหรือผิวเหี่ยวย่น ทำให้เกิดฝ้า กระ ได้อีกด้วย ที่สำคัญคือรังสีชนิดนี้ผ่านทะลุกระจกได้ด้วยนะ
• รังสี UVB (คลื่นกลาง : 290-320 นาโนเมตร) สามารถทะลุได้ถึงชั้นหนังกำพร้า(ชั้นตื้นสุด)เท่านั้น จึงทำให้ผิวหนังแดงหรือผิวไหม้แดด ทำให้สีผิวของเราหมองคล้ำ และยังเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังด้วย
• รังสี UVC (คลื่นสั้น : 200-290 นาโนเมตร) มีความสำคัญน้อยกว่าชนิดอื่น เพราะส่องมาที่พื้นโลกได้ไม่มากนัก เกือบทั้งหมดถูกกรองไปแล้วโดยชั้นบรรยากาศโอโซนที่ห่อหุ้มโลกของเราอยู่
รังสี UVA และ UVB จะมีมากที่สุดในช่วงเวลา 10.00-15.00 แต่ปริมาณของรังสี UVA จะมีตลอดทั้งวันแทบไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเช้าหรือเย็นก็ต้องระมัดวังให้ดี

ค่า PA และ SPF คืออะไร ?
PA หรือ Protection Grade of UVA เป็นค่าที่แสดงถึงคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) โดยวัดค่าเป็นเท่าของการเกิดผิวดำคล้ำ (skin pigmentation) เมื่อเทียบกับผิวหนังปกติ แสดงด้วยเครื่องหมาย + ดังนี้
• PA+ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 1-4 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้น้อย
• PA++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 4-8 เท่าของผิวปกติ หรือป้องกันได้ปานกลาง
• PA+++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า หรือป้องกันได้สูง
• PA++++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 16 เท่าขึ้นไป หรือป้องกันได้สูงมาก

PA เป็นค่าที่แสดงถึงคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA)

ค่า SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ไม่ให้เกิดอาการแดงของผิวหนัง ค่าตัวเลขหลัง SPF ที่ระบุไว้ อย่าง SPF 50 นั้นจะหมายถึง การทาครีมจะเพิ่มระยะเวลามากขึ้น 50 เท่าก่อนจะเกิดอาการผิวหนังแดงเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่ยังไม่ได้ทาครีมกันแดด ค่า SPF ยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงว่าครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้มากขึ้นด้วย

ค่า SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB
ไม่ให้เกิดอาการแดงของผิวหนัง

เลือกครีมกันแดดยังไงให้เหมาะกับตัวคุณ
• ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 มาใช้ และมีค่า PA++ นั้นเพียงพอสำหรับผู้ที่ทำงานในร่มเป็นหลัก ถ้าต้องทำงานออกแดดหรือจำเป็นต้องโดนแดดก็ให้เลือกซื้อครีมกันแดดที่มีค่า PA+++ และ SPF 15-20 มาใช้ แต่หากทำกิจกรรมกลางแจ้งก็ให้เลือกเป็น SPF 20-30 ผู้ที่ต้องออกแดดนานขึ้นอาจเพิ่มเป็น SPF 50 ได้ และถ้าต้องออกแดดกลางแจ้งเป็นเวลานานหรือมีแดดแรงมากก็ให้เลือกซื้อครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ ขึ้นไป
• ถ้าเป็นคนผิวมันก็ให้ใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะหากใช้ครีมกันแดดที่มันหรือมีค่า SPF สูงๆ จะยิ่งทำให้หน้ามันและเกิดสิวอุดตันได้มากขึ้น
• ก่อนใช้จริงควรทดสอบการแพ้ครีมกันแดดด้วย ให้นำครีมกันแดดมาทาใต้ท้องแขนทิ้งไว้ 15 นาที แล้วสังเกตว่ามีอาการบวมแดงหรือไม่ ถ้ามีอาการบวมแดงเกิดขึ้นแสดงว่าแพ้สารเคมีจากครีมกันแดดชนิดนั้นๆ ให้เลือกใช้ครีมกันแดดชนิดอื่นแทน

ทาครีมกันแดดอย่างถูกต้อง
• บีบครีมกันแดดลงมาตามแนวยาวของนิ้วมือ โดยมีความยาวตั้งแต่ปลายนิ้ว จนถึงข้อนิ้วข้อที่สอง จากนั้นแต้มครีมกันแดดลงบนใบหน้า 5 จุด ได้แก่ หน้าผาก 1 จุด, แก้ม 2 จุด, จมูก 1 จุด และคางอีก 1 จุด จากนั้นก็ค่อย ๆ เกลี่ยให้ทั่วหน้าอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้นิ้วกลางและนิ้วนางวนเป็นวงกลมบนใบหน้าเบา ๆ จนเนื้อครีมซึมเข้าสู่ผิวหน้าจนหมดไม่เห็นครีมสีขาวๆ อย่าลืมทาใบหูด้วย เพราะใบหูเป็นส่วนที่ไหม้แดดได้ง่าย ให้ทาไปถึงลำคอและด้านหลังที่ไม่มีเสื้อปกปิดด้วย เพื่อป้องกันแสงแดดและไม่ทำให้หน้าลอย และควรทาลิปสติกหรือลิปมันที่มีสารป้องกันรังสียูวีบริเวณริมฝีปากด้วย ส่วนการทาครีมกันแดดบริเวณอื่นๆ เช่น แขน ขา ให้เลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับทาตัวโดยเฉพาะ ซึ่งราคาจะถูกกว่าและเหมาะกับผิวกายมากกว่าครีมแบบทาหน้า
• ควรทาทิ้งไว้ก่อนการออกแดดประมาณ 15 – 30 นาที และเพื่อการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพควรทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
• ถ้าจะลงเล่นน้ำควรเลือกซื้อครีมกันแดดที่กันน้ำได้และทาซ้ำบ่อย ๆ ชนิด Water resistant จะออกฤทธิ์กันแดดได้สูงสุด 40 นาที และ Waterproof จะออกฤทธิ์กันแดดได้สูงสุด 80 นาที จึงควรทาซ้ำทุก ๆ 40-80 นาทีตามแต่ชนิด

ครีมกันแดด ครีมที่ขาดไม่ได้ !! Read More »